คุณจ๊ะเอ๋เขารีเควสการใส่พื้นหลังมา เลยหาเรื่องอัพบล็อกซะหน่อย ใครยังไม่รู้จะเปลี่ยนพื้นหลังยังไงก็แวะมาแบ่งปันความรู้ได้นะคะ
อันดับแรกเลยเข้าไปที่ ปรับแต่ง > รูปแบบ > แก้ไข HTML แล้วเราก็จะเห็นโค้ดยาวเป็นพรืด(ดูลายตายิ่งนัก) ให้หาโค้ดด้านล่างนี้นะคะ(จะอยู่ที่ /* ---( page defaults )--- */)
body {
margin: 0;
padding: 0; f
ont-size: small;
text-align: center;
color: $textcolor;
background:url("ใส่ url ของรูป");
}
ถ้าไม่ต้องการให้พื้นหลังเลื่อนขึ้นลง แนะนำว่าให้ใสโค้ดข้างล่างนี้แทนลงไปค่ะ ที่สำคัญอย่าลบ "" เพราะรูปจะไม่ขึ้น
background-attachment: fixed;background-image:url("ใส่urlของรูป");
ถ้าจะให้ดีแนะนำให้สมัครเว็ปฝากรูปไว้ซะนะคะ อย่าง photobucket นี่แหละง่ายดี เพราะเวลาเราเอา url มามันจะได้ไมjหาย ถ้าเอาของคนอื่นหากว่าเขาลบรูปนั้นไปรูปเราก็จะหายด้วย มีไว้เป็นของตัวเองดีที่สุดนะคะ
ขอให้สนุกกับการแต่งบล็อกค่ะ
2552-08-27
2552-08-19
จัดระเบียบชีวิต
date :: 2009/08/19
time ::18:39
weather :: ครึ้ม
note :: to do list ร้อยแปดบานตะไท
เปลี่ยนแบคกราวด์บล๊อกอีกแล้ว ตกแต่งเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยด้วย แก้โค้ดกันเป็นที่สนุกสนานเฮฮา
- ครูบอกให้เอาเคาท์เตอร์ใส่ ได้ค่ะ...หนูจัดให้
- บอกให้ใส่นาฬิกา หนูแถมปฎิทินให้ด้วย
ต้องทำอะไรอีกมั้ยเนี่ย? จะได้จัดแต่งให้เสร็จสรรพ ว่าแต่ทำไปทำมาก็สนุกดีเหมือนกัน เปลี่ยนนั่นใส่นี่ แต่ที่ไม่ชอบเอาจริงจังคือใส่เพลง ปกติเวลาเข้าไปบล๊อกใครจะชอบไปปิดเพลงเขา เนื่องจากเครื่องตัวเองเปิดเพลงตลอดเวลาอยู่แล้ว ถ้าเพลงไม่ถูกใจจริงๆนิสาจะไม่ฟังเลย
ช่วงนี้พยายามอัพเดทความคิด ชีวิต และการกระทำของตัวเองให้มันดีขึ้น แม้บางครั้งจะเหวี่ยงคนบ้าง งี่เง่า เอาแต่ใจ และไร้เหตุผลบ้างแต่ก็ยังพออภัยให้ตัวเอง(ถึงบางคนอาจไม่อภัยให้เรา...ฮา) พยายามพูดน้อยเพราะปากเราไม่ค่อยจะดีนัก(ชาวบ้านเรียกปากหมานั่นเอง) เอาใจใส่ตัวเองและคนรอบข้างให้มากขึ้น แม้จะทำได้ไม่ดีนักแต่จะพยายาม
เดือนหน้ามีแพลนจะซื้อวิตามินอีกแล้ว
1. Evening primrose oil 1000 mg ; ตอนนี้กินของ MEGA We care อยู่ จุดประสงค์หลักคือกินเพื่อลดอาการปวดประจำเดือน ผลพลอยได้คือผิวจะอุ้มน้ำ ไม่แห้ง กินแล้วก็ดีนะ ไม่ปวดท้องประจำเดือนนัก แต่ต้องกินนานหน่อยกว่าจะเห็นผล และคิดว่าจะกินต่อไปเรื่อยๆ
2. วิตามินบีรวม ; นิสาเป็นคนประเภทนอนหลับยาก เครียดง่าย ขี้กังวล หงุดหงิดบ่อยด้วย บางครั้งก็มึนๆ เบลอๆ และเป็นไมเกรน เท่าที่รู้มาคือวิตามินบีหลายๆ ตัวช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ เลยคิดว่าต้องกลับมากินมันอีกแล้ว หลังจากห่างหายไปนานพอสมควร(กลัวจะกลายเป็นโรคนอนไม่หลับ...อันตราย) เพราะวิตามินบีช่วยบำรุงระบบประสาทได้
3. วิตามินซี ; อันนี้กินด้วยความที่ต้องกิน...นั่นแหละ
4. แบรนด์เม็ด ; ยังคิดอยู่ว่าจะซื้อมันดีมั้ย เท่าที่เหลือตอนนี้ก็ไม่มากแล้ว เอาไว้ถ้างบพอก็ค่อยว่ากันเนาะ
warning ; การกินวิตามินต้องกินในปริมาณพอดี บางชนิดต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เช่น วิตามินบี12 ที่ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับซึ่งต้องใช้ในปริมาณสูง หรือแม้กระทั่งอาหารเสริมอื่นๆ ด้วย ถ้าไม่แน่ใจว่าควรกินวิตามินอะไรหรืออาหารเสริมชนิดใดกรุณาไปพบแพทย์ก่อนตัดสินใจ
- - กำลังอยู่ในช่วงจัดระเบียบชีวิต
- - เข้านอนก่อนเที่ยงคืน ตื่นนอนก่อนเจ็ดโมงเช้า...เริ่มชินแล้ว
- - บันทึกค่าใช้จ่ายทุกวัน...เดือนนี้ก็หลายพันแล้ว
- - ถ้าอะไรที่ไม่มีแล้วไม่ตายก็ไม่ต้องซื้อ!
- - อ่านหนังสือเรียนทุกวัน...บางวันก็อ่านได้ครึ่งหน้า
- - โทรหาแม่ทุกอาทิตย์...เลื่อนบ้างบางที
- - และอีกร้อยแปดที่มีในสิสต์...ซึ่งทำได้ไม่ถึง 1 ใน 10 --"
- - สุดท้าย..."ถ้ารู้จักรักตัวเองการจะรักคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องยาก"
- - เอวัง...
ป้ายกำกับ:
diary
2552-08-15
วันเสาร์
date :: 2009/08/15
time :: 17:28
weather :: ไม่เย็น ไม่ร้อน แต่ไม่ชอบ
note :: ........
เมื่อคืนนอนเกือบตีสองกะตื่นสายเต็มที่ ปรากฎว่าเจ็ดโมงครึ่งคุณเพื่อนโทรมาซะงั้น บ้านมันไม่มีนาฬิการึไงวะ ไม่รู้หรือว่าวันเสาร์ก่อนเก้าโมงมันเวลานอน! ฉันก็เลยต้องลืมตาขึ้นมาคุยกับมัน พอวางเสร็จก็เลยไม่อยากนอนต่อ ลุกมายืดเส้นยืดสายอยู่ครึ่งชั่วโมง เดินออกไประเบียงกะรับแดดเต็มที่แต่ฝนกลับตก ยืนดูฝนแป๊บเดียวก็เข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัว แยกผ้า แช่เสื้อขาว เอากางเกงลงไปปั่นแล้วก็เรื่อยเปื่อย บ่ายก็ไปกินข้าว สั่งสองอย่างแล้วก็กินไม่หมด แถมคิดค่าข้าวตัวเองผิด โกงน้องมาห้าบาทด้วย...หอยหลอดจริงๆ
แล้วก็...ถามหน่อย
ผู้ชายคนนี้



ต้องการอะไรจากสังคมคะ?
ดิฉันข้องใจ
พีเอสสึ. จริงๆ ฉันชอบลุคนี้นะ ถ้าใครเคยดูเรื่องเดธโน้ตต้องคิดเหมือนฉันแน่ๆ
ป้ายกำกับ:
diary
2552-08-11
วันแม่
ฉันเป็นลูกคนเล็กของบ้าน ตั้งแต่จำความได้พ่อกับแม่เลี้ยงฉันอย่างตามใจแต่ไม่โอ๋ คือไม่เออออห่อหมกว่าลูกฉันถูกเสมอ ผิดก็จะบอกว่าผิดและเตือนไม่ให้ทำอีก ถ้าผิดเป็นครั้งที่สองการลงโทษคือนั่งฟังพ่อกับแม่เทศน์จนกว่าจะสำนึก จะไม่มีการตี เท่าที่จำได้ ฉันเคยเห็นพ่อตีพี่ชายแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เกิด เพราะตอนนั้นพ่อว่าพี่ชายพาน้องสาวไปเล่นในป่าแล้วน้องก็ผื่นขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วคนน้องนั่นแหละที่เป็นคนพาไป และนับแต่นั้นเราสองคนก็ไม่เคยถูกพ่อกับแม่ตีอีกเลย
เพราะตอนเด็กฉันไม่ได้อยู่บ้านกับพ่อแม่ ต้องไปอยู่กับป้าในเมืองและเข้าโรงเรียนที่นั่น จึงไม่บ่อยนักที่ฉันจะได้เจอหน้าพวกท่าน ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป วันแม่แต่ละปีก็จะมีป้าไปใ้ห้ไหว้ เห็นเด็กๆ ร้องไห้กอดแม่ฉันก็เฉย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอขึ้นมัธยมก็ไม่ได้ไหว้แม่ตัวเองอีกเลย หรือกระทั่งวันประชุมผู้ปกครองแม่ก็ไม่ได้ไป ส่วนมากพี่สาวก็จะเป็นผู้่ปกครองให้
แม่เคยถามฉันเหมือนกันว่าอยากให้ไปวันแม่มั้ย? ฉันบอกว่าจะไปก็ได้ แต่คงไม่ได้อยู่ด้วยเพราะตอนเรียนเป็นเด็กกิจกรรม ต้องวิ่งไปนั่นมานี่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เขาก็จัดให้นักเรียนได้ไหว้แม่แต่ฉันก็ต้องไปอยู่หลังเวทีบอกคิวเด็กที่จะขึ้นแสดงบ้าง เสิร์ฟน้ำบ้าง แม้กระทั่งต้องอ่านร้อยกรองอยู่หลังฉาก เพราะฉะนั้นวันแม่ในแต่ละปีฉันจึงได้เจอแม่ก็ต่อเมื่อกลับจากโรงเรียน
แม่ฉันเป็นผู้หญิงผิวขาว ตัวเล็ก(กว่าฉัน) ผมหยิกฟู แม่ไม่ได้เป็นแม่บ้านสมบูรณ์แบบ แม่ไม่ได้ทำกับข้าวอร่อยที่สุด อาจจะเพราะฉันโตมากับอาหารฝีมือป้าที่เป็นแม่ค้าขายกับข้าว อาหารฝีมือแม่จึงไม่ได้อร่อยมาก แต่ฉันก็กินได้ไม่เคยบ่น เรื่องเย็บ ปัก ถัก ร้อย แม่ก็ทำไม่ได้อย่างใครๆ จะให้พูดจริงๆ คือฉันทำได้ดีกว่าแม่เยอะ แม่ไม่ได้เป็นแม่ที่ใครๆ ฝันอยากให้เป็น แม่ไม่ได้เข้าใจลูกดีกว่าใคร แต่สิ่งที่แม่มีเหมือนกันกับแม่คนอื่นๆ คือความรักที่แม่มีให้ลูก ลูกของแม่จะดีที่สุด สวยที่สุด เรียนเก่งที่สุด
แม่ของฉันเรียกตัวเองว่าชาวนา ถึงแม้เราจะมีสวนยางพารา ที่ทำไร่ แต่แม่ก็บอกเสมอว่าอาชีพของแม่คือการทำนา มือของแม่ไม่ได้นุ่มนิ่ม ผิวแม่ไม่ได้สวย ออกจะกร้านแดดกร้านลม และสิ่งที่ฉันเห็นตั้งแต่เด็กคือแม่ทำงานหนัก หนักอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นใครจะสามารถทำได้อย่างแม่ เวลาหน้านาแม่จะตื่นตั้งแต่ตีสี่ ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นแม่จะสวมเครื่องแบบลงไปยืนอยู่ในนาเรียบร้อย ถอนกล้าได้สามสิบมัดถึงจะขึ้นมากินข้าวเช้า พักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะลงดำนา ตอนเด็กๆ ที่ฉันเคยไปดำนากับแม่ ถ้าแดดร้อนมากแล้วฉันบ่นแม่ก็จะไล่ขึ้นไปพัก หรือถ้าฝนตกแม่ก็จะไล่กลับบ้านเพราะกลัวลูกไม่สบาย ซึ่งฉันก็เล่นบ้าง ไม่ได้ช่วยจริงจัง พอขึ้นมัธยมก็แทบไม่ได้กลับบ้านหน้านาอีกเลย
ทุกปีที่บ้านจะมีช่วงที่ต้องไป "นอนนา" คือปลายปีจะเป็นช่วงปิดเทอมประมาณสัปดาห์กว่าๆ เพราะคาบเกี่ยวระหว่างคริสต์มาสและปีใหม่(ตอนประถมเรียนโรงเรียนคริสต์) พ่อกับแม่ก็จะพาลูกไปนอนนา ซึ่งตอนเด็กจะเป็นอะไรที่ฉันกับพี่ชายรอคอยเอามากๆ เพราะเราจะได้สร้างบ้านเอง พ่อจะเป็นคนตัดไม้ใผ่มาขึ้นโครงให้แล้วพวกเราก็จะช่วยกันขนฟางข้าวมาช่วยกันมุง บางปีได้บ้านเป็นโดม บางปีเป็นเหมือนเต้นท์ เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ใช้เครื่องสีข้าวอย่างปัจจุบัน แต่จะเป็นการตีข้าวกับลาน ฟางข้าวจึงยังเป็นมัด เมื่อก่อนจะมีการลงแขกดำนา เกี่ยวข้าว ตีข้าวกันเป็นที่สนุกสนาน
นอกจากสร้างบ้านพวกเรายังจะได้จับปลาในบ่อกันเอง ฉันสามามรถยกยอ ตกปลา ขุดหน่อไม้ เก็บเห็ดได้ตั้งแต่เด็ก ซึ่งถ้าตอนนี้ฉันกลับไปอยู่บ้าน ถึงไม่มีเงินแต่ฉันเชื่อว่าตัวเองจะไม่อดตาย นอกจากวิชาชีพการเอาตัวรอดภาคปฎิบัติ ฉันยังได้เรียนยิงหน้าไม้(รู้จักกันมั้ย?)กับพ่ออีกด้วย พ่อฉันเป็นคนที่มีอาวุธเก็บไว้เยอะพอสมควร ทั้งปืน หน้าไม้ และอุปกรณ์หากินอื่นๆ (พ่อเคยเคยยิงกวางได้ด้วยแหละ) และทุกสิ่งที่พ่อมีฉันก็จะได้จับหมด นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันรักการไปเที่ยวทะเลหรือภูเขามากกว่าไปเดินห้าง
เนื่องจากฉันไม่ได้อยู่กับที่บ้านมากนัก เวลาฉันขออะไรๆ จากแม่ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยถูกขัดใจ แม่คงอยากชดเชยที่ไม่ได้เลี้ยงลูกเอง จนกระทั่งตอนซัมเมอร์ม.สี่ เนื่องจากโรงเรียนที่ฉันเรียนเป็นโรงเรียนที่ลูกท่านหลานเธอทั้งหลายของภาคอีสานมาเรียนกัน เพื่อนแต่ละคนจึงค่อนข้างมีอันจะกิน นอกจากฉันที่พ่อแม่เป็นชาวนาและเพื่อนอีกคนที่พ่อเป็นภารโรง คนอื่นๆ ถ้าพ่อแม่ไม่รับราชการก็จะมีกิจการเป็นของตัวเอง ปีนั้นมีโครงการไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์ เพื่อนเกินครึ่งห้องลงชื่อจะไปกัน แต่ฉันต้องขออนุญาตแม่ก่อน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่ได้รับอนุญาต ด้วยเหตุผลที่ว่าแม่ไม่เงิน
ตอนม.ปลายฉันได้ตังค์ใช้อาทิตย์ละพัน ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนหนึ่งพันบาทเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากจริงๆ อาจจะเพราะได้มาง่ายฉันจึงไม่เสียดายที่จะใช้เงินจำนวนนั้นในการซื้อหาข้าวของต่างๆ นาๆ โดยที่ไม่รู้สึกเสียดายเลยซักนิด ฉันไม่รู้หรอกว่าเงินที่ให้มาแม่ได้มาด้วยวิธีไหน ขายข้าว ขายผลไม้ในสวน หรือจากการขายผักในไร่ แต่ฉันก็มีเงินใช้ไม่ขัดสนและไม่รู้สึกน้อยหน้าเพื่อน พอฟังเหตุผลของแม่ในตอนนั้นฉันจึงโกรธและน้อยใจเอามากๆ เมื่อไม่ได้ไปสิงคโปร์ฉันจึงได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวทะเลกับบ้านลุงแทน จนผ่านไปสิบวัน กลับมาบ้านฉันก็ยังไม่พูดกับแม่อยู่ดี
ฉันจำได้ดีว่าวันนั้นเรากินข้าวเย็นร่วมกันเป็นมื้อแรกหลังจากกลับมาจากทะเล แม่จะเป็นคนทำกับข้าว พอทำเสร็จฉันจะเป็นคนยกออกมาชานบ้าน ตอนที่ฉันยื่นมือไปรับกับข้าวจากแม่ที่ยืนหันข้างให้ "น้ำตาแม่"ตกกระทบหลังมือ น้ำหยดเล็กนิดเดียวแต่มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนน้ำเดือดสาดใส่ ฉันหน้าชา น้ำตาเจียนจะหยด เย็นวันนั้นพวกเรานั่งกินข้าวโดยไม่มีแม่ร่วมวงด้วย และนั่นก็เป็นมื้อแรกที่ฉันถูกพ่อบังคับกินข้าวพร้อมน้ำตา
เป็นกับข้าวฝีมือแม่ที่ไม่อร่อยที่สุดในชีวิต....
ต้องบอกว่าแม่เลี้ยงลูกตามใจจริงๆ ฉันขอแม่ไปเรียนภาษาแม่ก็ไม่ได้ห้าม เพียงแค่กังวลเรื่องเงินเพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่สุดท้ายก็มีผู้อุปการะฉันจึงได้หนีออกนอกประเทศสมใจ แล้วก็ได้ทุนต่อ พอไปเรียนก็ยังไม่รู้ว่าจะต่ออะไร จนจบภาษาสองคอร์สฉันก็บอกแม่ว่าจะกลับบ้าน มาทำงานที่บ้านเรา แม่ก็ไม่ว่า แล้วแต่ลูก ทั้งที่ฉันก็กังวลว่าแม่อาจจะผิดหวังกับสิ่งที่ฉันตัดสินใจ แต่แม่ก็บอกแค่ว่าถ้าลูกไม่รู้สึกเสียใจเองก็แล้วทำไมแม่ต้องเสียใจ
เมื่อตอนมัธยมแม่ไม่เคยห้ามเรื่องมีแฟน เวลาเพื่อนๆ (รวมแฟน)มาที่บ้านแม่จะต้อนรับขับสู้ หาข้าวหาน้ำ หาที่นอนหมอนมุ้งให้เสร็จสรรพ เวลาจะไปเที่ยวแม่หารถพร้อมคนขับให้ ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่าต้องปิดบัง อย่างเพื่อนบางคนต้องปิดพ่อปิดแม่เวลาไปเที่ยวกับแฟน อ้างเพื่อน อ้างโรงเรียน ฉันเคยทำนะ แต่รู้สึกไม่สบายใจเองเลยไม่อยากปิด มีอะไรก็บอก อยู่กับเพื่อนกับแฟนก็บอกตลอด แม่เลยไม่เซ้าซี้หรือคอยตาม และมันทำให้เรารู้สึกว่าแม่ไว้ใจ เราเองก็ไม่อยากทำลายความไว้ใจของแม่เลยไม่ค่อยทำตัวนอกกรอบซักเท่าไหร่
ตั้งแต่เล็กจนโตฉันกับแม่ไม่ค่อยจะเปิดอกคุยกันซักเท่าไหร่นัก เราไม่ค่อยบอกรักกัน ไม่ค่อยกอด หรือแสดงความรักต่อกัน แต่วันแม่ทุกปีถ้าอยู่ใกล้เราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน ถ้าอยู่ไกลก็จะโทรหากันทุกปี หรือถ้าเป็นวันเกิดฉันแม่ก็จะพาไปทำบุญตักบาตร ทำสังฆทาน แต่ไม่ค่อยมีงานวันเกิด บ้านเราไม่ค่อยถือเรื่องนี้นัก มันอาจเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพยายามทำเพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายรักและใส่ใจ ฉันเองก็จะดีใจที่แม่ทำให้ แม่เองก็ดีใจที่ฉันยังใส่ใจไม่เคยลืม แม้เราจะไม่บอกกันตรงๆ แต่ฉันเชื่อว่าแม่ต้องเข้าใจเหมือนที่ฉันเองก็เข้าใจว่าแม่รักฉันมากแค่ไหน
สิ่งหนึ่งที่ฉันได้มาจากแม่เต็มๆ คือการมองโลกในแง่ดี แม่อาจจะขี้บ่น ขี้เมาธ์เหมือนคนวัียทองทั่วไป แต่แม่ก็ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ไม่เคยเห็นแม่แช่งชักหักกระดูกใครให้ได้ยินเลยซักครั้ง แม่ไม่เคยชมลูกต่อหน้าคนอื่น และไม่เคยเอาลูกคนอื่นมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเอง ฉันกับพี่ชายเลยไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ท่านสอนเราเสมอว่าเราเป็นชาวนา เพราะฉะนั้นถึงจะไม่มีเงินแต่เราก็ยังมีข้าวกิน มีผัก มีปลาที่เราปลูกเองเลี้ยงเอง แม่ไม่เคยทำให้เรารู้สึกต่ำต้อยกว่าใครที่เกิดเป็นลูกชาวนา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเราจะรู้สึกเสมอว่าเราไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลก และฉันก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เหลือเกิน
ตอนนี้ฉันโตแล้ว ถึงจะยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ฉันก็ไม่ได้แบมือขอเงินแม่เหมือนตอนเด็กๆ มาห้าปีแล้ว ฉันมีเงินเก็บพอจะเรียนจบโดยไม่ต้องลำบากใคร มีเงินลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ไว้เก็บดอกเก็บผล มีอนาคตที่วาดภาพไว้พอใ้ห้เห็นลางๆ สำหรับชีวิตตอนนี้ฉันถือว่าไม่มีทุกข์หนักให้ต้องกังวล แม้ว่าตอนเด็กๆ ฉันจะสร้างเรื่องให้แม่ลำบากใจไม่น้อย ใช้เงินเปลืองมาก แต่ตอนนี้ลูกสาวแม่เริ่มพึ่งพาตัวเองได้ ไม่สร้างเรื่อง ไม่สร้างหนี้เหมือนที่แม่ชอบสอน และฉันก็รู้ว่าแม่ภูมิใจตรงจุดนี้
วันแม่ปีนี้เป็นอีกปีที่ฉันไม่ได้อยู่กับแม่ ได้แต่โทรหา คุยกันด้วยเรื่องไร้สาระทุกเรื่องที่นึกออก นินทาป้าข้างบ้าน นินทาพ่อตัวเอง บอกเล่าเรื่องราวที่อยากทำในอนาคต ถามเรื่องอาหารการกิน คุยถึงแฟนเก่าที่พึ่งเลิกกัน จิกกัดชาวบ้านชาวช่อง หัวเราะด้วยกันโดยที่ไม่มีคำรักหลุดจากปากให้ได้ยิน แต่ฉันกลับรู้สึกเต็มตื้นในอกทุกครั้งที่ได้คุยกับแม่ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าถึงฉันจะไม่เหลือใคร แต่สุดท้ายคนที่ยืนรอเราที่หน้าบ้านทุกครั้งที่พ่ายแพ้และหาที่พึ่งก็คือแม่
เพราะตอนเด็กฉันไม่ได้อยู่บ้านกับพ่อแม่ ต้องไปอยู่กับป้าในเมืองและเข้าโรงเรียนที่นั่น จึงไม่บ่อยนักที่ฉันจะได้เจอหน้าพวกท่าน ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป วันแม่แต่ละปีก็จะมีป้าไปใ้ห้ไหว้ เห็นเด็กๆ ร้องไห้กอดแม่ฉันก็เฉย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอขึ้นมัธยมก็ไม่ได้ไหว้แม่ตัวเองอีกเลย หรือกระทั่งวันประชุมผู้ปกครองแม่ก็ไม่ได้ไป ส่วนมากพี่สาวก็จะเป็นผู้่ปกครองให้
แม่เคยถามฉันเหมือนกันว่าอยากให้ไปวันแม่มั้ย? ฉันบอกว่าจะไปก็ได้ แต่คงไม่ได้อยู่ด้วยเพราะตอนเรียนเป็นเด็กกิจกรรม ต้องวิ่งไปนั่นมานี่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เขาก็จัดให้นักเรียนได้ไหว้แม่แต่ฉันก็ต้องไปอยู่หลังเวทีบอกคิวเด็กที่จะขึ้นแสดงบ้าง เสิร์ฟน้ำบ้าง แม้กระทั่งต้องอ่านร้อยกรองอยู่หลังฉาก เพราะฉะนั้นวันแม่ในแต่ละปีฉันจึงได้เจอแม่ก็ต่อเมื่อกลับจากโรงเรียน
แม่ฉันเป็นผู้หญิงผิวขาว ตัวเล็ก(กว่าฉัน) ผมหยิกฟู แม่ไม่ได้เป็นแม่บ้านสมบูรณ์แบบ แม่ไม่ได้ทำกับข้าวอร่อยที่สุด อาจจะเพราะฉันโตมากับอาหารฝีมือป้าที่เป็นแม่ค้าขายกับข้าว อาหารฝีมือแม่จึงไม่ได้อร่อยมาก แต่ฉันก็กินได้ไม่เคยบ่น เรื่องเย็บ ปัก ถัก ร้อย แม่ก็ทำไม่ได้อย่างใครๆ จะให้พูดจริงๆ คือฉันทำได้ดีกว่าแม่เยอะ แม่ไม่ได้เป็นแม่ที่ใครๆ ฝันอยากให้เป็น แม่ไม่ได้เข้าใจลูกดีกว่าใคร แต่สิ่งที่แม่มีเหมือนกันกับแม่คนอื่นๆ คือความรักที่แม่มีให้ลูก ลูกของแม่จะดีที่สุด สวยที่สุด เรียนเก่งที่สุด
แม่ของฉันเรียกตัวเองว่าชาวนา ถึงแม้เราจะมีสวนยางพารา ที่ทำไร่ แต่แม่ก็บอกเสมอว่าอาชีพของแม่คือการทำนา มือของแม่ไม่ได้นุ่มนิ่ม ผิวแม่ไม่ได้สวย ออกจะกร้านแดดกร้านลม และสิ่งที่ฉันเห็นตั้งแต่เด็กคือแม่ทำงานหนัก หนักอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นใครจะสามารถทำได้อย่างแม่ เวลาหน้านาแม่จะตื่นตั้งแต่ตีสี่ ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นแม่จะสวมเครื่องแบบลงไปยืนอยู่ในนาเรียบร้อย ถอนกล้าได้สามสิบมัดถึงจะขึ้นมากินข้าวเช้า พักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะลงดำนา ตอนเด็กๆ ที่ฉันเคยไปดำนากับแม่ ถ้าแดดร้อนมากแล้วฉันบ่นแม่ก็จะไล่ขึ้นไปพัก หรือถ้าฝนตกแม่ก็จะไล่กลับบ้านเพราะกลัวลูกไม่สบาย ซึ่งฉันก็เล่นบ้าง ไม่ได้ช่วยจริงจัง พอขึ้นมัธยมก็แทบไม่ได้กลับบ้านหน้านาอีกเลย
ทุกปีที่บ้านจะมีช่วงที่ต้องไป "นอนนา" คือปลายปีจะเป็นช่วงปิดเทอมประมาณสัปดาห์กว่าๆ เพราะคาบเกี่ยวระหว่างคริสต์มาสและปีใหม่(ตอนประถมเรียนโรงเรียนคริสต์) พ่อกับแม่ก็จะพาลูกไปนอนนา ซึ่งตอนเด็กจะเป็นอะไรที่ฉันกับพี่ชายรอคอยเอามากๆ เพราะเราจะได้สร้างบ้านเอง พ่อจะเป็นคนตัดไม้ใผ่มาขึ้นโครงให้แล้วพวกเราก็จะช่วยกันขนฟางข้าวมาช่วยกันมุง บางปีได้บ้านเป็นโดม บางปีเป็นเหมือนเต้นท์ เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ใช้เครื่องสีข้าวอย่างปัจจุบัน แต่จะเป็นการตีข้าวกับลาน ฟางข้าวจึงยังเป็นมัด เมื่อก่อนจะมีการลงแขกดำนา เกี่ยวข้าว ตีข้าวกันเป็นที่สนุกสนาน
นอกจากสร้างบ้านพวกเรายังจะได้จับปลาในบ่อกันเอง ฉันสามามรถยกยอ ตกปลา ขุดหน่อไม้ เก็บเห็ดได้ตั้งแต่เด็ก ซึ่งถ้าตอนนี้ฉันกลับไปอยู่บ้าน ถึงไม่มีเงินแต่ฉันเชื่อว่าตัวเองจะไม่อดตาย นอกจากวิชาชีพการเอาตัวรอดภาคปฎิบัติ ฉันยังได้เรียนยิงหน้าไม้(รู้จักกันมั้ย?)กับพ่ออีกด้วย พ่อฉันเป็นคนที่มีอาวุธเก็บไว้เยอะพอสมควร ทั้งปืน หน้าไม้ และอุปกรณ์หากินอื่นๆ (พ่อเคยเคยยิงกวางได้ด้วยแหละ) และทุกสิ่งที่พ่อมีฉันก็จะได้จับหมด นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันรักการไปเที่ยวทะเลหรือภูเขามากกว่าไปเดินห้าง
เนื่องจากฉันไม่ได้อยู่กับที่บ้านมากนัก เวลาฉันขออะไรๆ จากแม่ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยถูกขัดใจ แม่คงอยากชดเชยที่ไม่ได้เลี้ยงลูกเอง จนกระทั่งตอนซัมเมอร์ม.สี่ เนื่องจากโรงเรียนที่ฉันเรียนเป็นโรงเรียนที่ลูกท่านหลานเธอทั้งหลายของภาคอีสานมาเรียนกัน เพื่อนแต่ละคนจึงค่อนข้างมีอันจะกิน นอกจากฉันที่พ่อแม่เป็นชาวนาและเพื่อนอีกคนที่พ่อเป็นภารโรง คนอื่นๆ ถ้าพ่อแม่ไม่รับราชการก็จะมีกิจการเป็นของตัวเอง ปีนั้นมีโครงการไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์ เพื่อนเกินครึ่งห้องลงชื่อจะไปกัน แต่ฉันต้องขออนุญาตแม่ก่อน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่ได้รับอนุญาต ด้วยเหตุผลที่ว่าแม่ไม่เงิน
ตอนม.ปลายฉันได้ตังค์ใช้อาทิตย์ละพัน ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนหนึ่งพันบาทเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากจริงๆ อาจจะเพราะได้มาง่ายฉันจึงไม่เสียดายที่จะใช้เงินจำนวนนั้นในการซื้อหาข้าวของต่างๆ นาๆ โดยที่ไม่รู้สึกเสียดายเลยซักนิด ฉันไม่รู้หรอกว่าเงินที่ให้มาแม่ได้มาด้วยวิธีไหน ขายข้าว ขายผลไม้ในสวน หรือจากการขายผักในไร่ แต่ฉันก็มีเงินใช้ไม่ขัดสนและไม่รู้สึกน้อยหน้าเพื่อน พอฟังเหตุผลของแม่ในตอนนั้นฉันจึงโกรธและน้อยใจเอามากๆ เมื่อไม่ได้ไปสิงคโปร์ฉันจึงได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวทะเลกับบ้านลุงแทน จนผ่านไปสิบวัน กลับมาบ้านฉันก็ยังไม่พูดกับแม่อยู่ดี
ฉันจำได้ดีว่าวันนั้นเรากินข้าวเย็นร่วมกันเป็นมื้อแรกหลังจากกลับมาจากทะเล แม่จะเป็นคนทำกับข้าว พอทำเสร็จฉันจะเป็นคนยกออกมาชานบ้าน ตอนที่ฉันยื่นมือไปรับกับข้าวจากแม่ที่ยืนหันข้างให้ "น้ำตาแม่"ตกกระทบหลังมือ น้ำหยดเล็กนิดเดียวแต่มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนน้ำเดือดสาดใส่ ฉันหน้าชา น้ำตาเจียนจะหยด เย็นวันนั้นพวกเรานั่งกินข้าวโดยไม่มีแม่ร่วมวงด้วย และนั่นก็เป็นมื้อแรกที่ฉันถูกพ่อบังคับกินข้าวพร้อมน้ำตา
เป็นกับข้าวฝีมือแม่ที่ไม่อร่อยที่สุดในชีวิต....
ต้องบอกว่าแม่เลี้ยงลูกตามใจจริงๆ ฉันขอแม่ไปเรียนภาษาแม่ก็ไม่ได้ห้าม เพียงแค่กังวลเรื่องเงินเพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่สุดท้ายก็มีผู้อุปการะฉันจึงได้หนีออกนอกประเทศสมใจ แล้วก็ได้ทุนต่อ พอไปเรียนก็ยังไม่รู้ว่าจะต่ออะไร จนจบภาษาสองคอร์สฉันก็บอกแม่ว่าจะกลับบ้าน มาทำงานที่บ้านเรา แม่ก็ไม่ว่า แล้วแต่ลูก ทั้งที่ฉันก็กังวลว่าแม่อาจจะผิดหวังกับสิ่งที่ฉันตัดสินใจ แต่แม่ก็บอกแค่ว่าถ้าลูกไม่รู้สึกเสียใจเองก็แล้วทำไมแม่ต้องเสียใจ
เมื่อตอนมัธยมแม่ไม่เคยห้ามเรื่องมีแฟน เวลาเพื่อนๆ (รวมแฟน)มาที่บ้านแม่จะต้อนรับขับสู้ หาข้าวหาน้ำ หาที่นอนหมอนมุ้งให้เสร็จสรรพ เวลาจะไปเที่ยวแม่หารถพร้อมคนขับให้ ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่าต้องปิดบัง อย่างเพื่อนบางคนต้องปิดพ่อปิดแม่เวลาไปเที่ยวกับแฟน อ้างเพื่อน อ้างโรงเรียน ฉันเคยทำนะ แต่รู้สึกไม่สบายใจเองเลยไม่อยากปิด มีอะไรก็บอก อยู่กับเพื่อนกับแฟนก็บอกตลอด แม่เลยไม่เซ้าซี้หรือคอยตาม และมันทำให้เรารู้สึกว่าแม่ไว้ใจ เราเองก็ไม่อยากทำลายความไว้ใจของแม่เลยไม่ค่อยทำตัวนอกกรอบซักเท่าไหร่
ตั้งแต่เล็กจนโตฉันกับแม่ไม่ค่อยจะเปิดอกคุยกันซักเท่าไหร่นัก เราไม่ค่อยบอกรักกัน ไม่ค่อยกอด หรือแสดงความรักต่อกัน แต่วันแม่ทุกปีถ้าอยู่ใกล้เราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน ถ้าอยู่ไกลก็จะโทรหากันทุกปี หรือถ้าเป็นวันเกิดฉันแม่ก็จะพาไปทำบุญตักบาตร ทำสังฆทาน แต่ไม่ค่อยมีงานวันเกิด บ้านเราไม่ค่อยถือเรื่องนี้นัก มันอาจเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพยายามทำเพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายรักและใส่ใจ ฉันเองก็จะดีใจที่แม่ทำให้ แม่เองก็ดีใจที่ฉันยังใส่ใจไม่เคยลืม แม้เราจะไม่บอกกันตรงๆ แต่ฉันเชื่อว่าแม่ต้องเข้าใจเหมือนที่ฉันเองก็เข้าใจว่าแม่รักฉันมากแค่ไหน
สิ่งหนึ่งที่ฉันได้มาจากแม่เต็มๆ คือการมองโลกในแง่ดี แม่อาจจะขี้บ่น ขี้เมาธ์เหมือนคนวัียทองทั่วไป แต่แม่ก็ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ไม่เคยเห็นแม่แช่งชักหักกระดูกใครให้ได้ยินเลยซักครั้ง แม่ไม่เคยชมลูกต่อหน้าคนอื่น และไม่เคยเอาลูกคนอื่นมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเอง ฉันกับพี่ชายเลยไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ท่านสอนเราเสมอว่าเราเป็นชาวนา เพราะฉะนั้นถึงจะไม่มีเงินแต่เราก็ยังมีข้าวกิน มีผัก มีปลาที่เราปลูกเองเลี้ยงเอง แม่ไม่เคยทำให้เรารู้สึกต่ำต้อยกว่าใครที่เกิดเป็นลูกชาวนา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเราจะรู้สึกเสมอว่าเราไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลก และฉันก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เหลือเกิน
ตอนนี้ฉันโตแล้ว ถึงจะยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ฉันก็ไม่ได้แบมือขอเงินแม่เหมือนตอนเด็กๆ มาห้าปีแล้ว ฉันมีเงินเก็บพอจะเรียนจบโดยไม่ต้องลำบากใคร มีเงินลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ไว้เก็บดอกเก็บผล มีอนาคตที่วาดภาพไว้พอใ้ห้เห็นลางๆ สำหรับชีวิตตอนนี้ฉันถือว่าไม่มีทุกข์หนักให้ต้องกังวล แม้ว่าตอนเด็กๆ ฉันจะสร้างเรื่องให้แม่ลำบากใจไม่น้อย ใช้เงินเปลืองมาก แต่ตอนนี้ลูกสาวแม่เริ่มพึ่งพาตัวเองได้ ไม่สร้างเรื่อง ไม่สร้างหนี้เหมือนที่แม่ชอบสอน และฉันก็รู้ว่าแม่ภูมิใจตรงจุดนี้
วันแม่ปีนี้เป็นอีกปีที่ฉันไม่ได้อยู่กับแม่ ได้แต่โทรหา คุยกันด้วยเรื่องไร้สาระทุกเรื่องที่นึกออก นินทาป้าข้างบ้าน นินทาพ่อตัวเอง บอกเล่าเรื่องราวที่อยากทำในอนาคต ถามเรื่องอาหารการกิน คุยถึงแฟนเก่าที่พึ่งเลิกกัน จิกกัดชาวบ้านชาวช่อง หัวเราะด้วยกันโดยที่ไม่มีคำรักหลุดจากปากให้ได้ยิน แต่ฉันกลับรู้สึกเต็มตื้นในอกทุกครั้งที่ได้คุยกับแม่ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าถึงฉันจะไม่เหลือใคร แต่สุดท้ายคนที่ยืนรอเราที่หน้าบ้านทุกครั้งที่พ่ายแพ้และหาที่พึ่งก็คือแม่
แม่ของฉัน คือผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่เท่าฟ้า.....
ps. ถ้าไม่คิดว่ามันดึกมากแล้ว ฉันคงเขียนได้อีกเป็นร้อยหน้า...
ป้ายกำกับ:
moment-in-time
2552-08-09
ซะที...
date :: 2009/08/09
time :: 21:59
weather :: อบอ้าว
note :: เวิ่นเว้อออออ....
เมื่อกี๊ไฟดับ...
ซ่อมโค้ดเสร็จพอดีแล้วไฟก็ดับพรึ่บ กะว่าจะส่ง url ให้อาจารย์ แอดเพื่อนแล้วจะนอน เลยยังไม่ได้ทำอะไรเลย ดีแต่ว่ามาเร็ว แต่เน็ตก็ยังด๋อยง่าวอยู่ดี รีเฟรชสิบรอบได้กว่าจะได้แอดเอนทรี่นี้เพิ่ม(ซึ่งขณะที่พิมพ์ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะได้หรือไม่)
วันนี้ทั้งวันนั่งงมโค้ดซะไม่ได้ทำอะไรเลย ว่าจะทำแป๊บเดียวแต่มันก็ไม่ได้ดั่งใจ ซ่อมแล้วซ่อมอีกจนออกมาได้แค่นี้ มันไม่ถูกใจเลย จริงๆอยากเอาไปไว้ข้างขวาแต่แก้โค้ดแล้วมันไม่เวิร์ค ข้างซ้ายก็ได้
ps.
- สำนักงานใหม่เฮียเรียบร้อยแล้วได้ข่าวว่าเสียหลายอยู่นี่
- แต่เว็บเข้าไม่ได้เพราะเน็ตเน่า
- หัวเข่าเขียวน่าเกลียดมาก
- ซื้อของที่ OP ชิ้นที่สองลด 50% แน่ะ
- ไปนอนไป
ป้ายกำกับ:
diary
2552-08-08
อัจฉริยะสร้างสุข by หนูดี วนิษา เรซ
เคยอ่านหนังสือเล่มนี้กันมั้ยคะ?
หนังสือปกเขียวเล่มนี้มีชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างสุข" คู่มือความสุขจากคุณหนูดี วนิษา เรซ เป็นผลงานชิ้นที่สามหลังจากคลอด "อัจฉริยะสร้างได้" และ"อัจฉริยะเรียนสนุก"
แน่ นอนว่างานเขียนของนักวิจัยเช่นคุณหนูดีย่อมกล่าวถึงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และมีงานวิจัยรองรับเป็นปกติ(ของคุณหนูดี) เพราะฉะนั้นอ่านๆ ไปก็จะเจอคำว่า "จากงานวิจัยพบว่า..." หรือ "มีงานวิจัยจาก..." เป็นต้น
เมื่อ ครั้งเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คุณหนูดีเคยลงทะเบียนเรียนในรายวิชา Positive Psychology หรือ จิตวิทยาเชิงบวก เป็นวิชาที่แตกแขนงจากสาขาแม่คือ วิชาจิตวิทยานั่นเอง และหนังสือเล่มนี้ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างนับแต่นั้น
จาก ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ความสุข(The Science of Happiness) ที่บอกว่า ความสุขเป็นเรื่องที่สร้างได้ ทดลองได้ และพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ คุณหนูดีจึงขยายความให้พวกเราเพิ่มเติมว่า สมองเราทำอะไรกับความสุขได้บ้าง ความสุขให้อะไรกับสมองบ้าง ทั้งยังวิธีคิด วิธีทำในการสร้างความสุขในแต่ละบท และแต่ละวิธีก็เป็นวิธีง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น
บทหนึ่งบอกไว้ว่า "สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ" ถ้าคุยกับฝรั่งก็ต้องบอกว่า "Look for the extraordinary in the ordinary"...มองหาความพิเศษจากสิ่งที่ธรรมดา
ก็แล้วความพิเศษจากความธรรมดามันคืออะไรล่ะ?
คุณ หนูดีบอกเราว่า "เรามีตัวเลือกวิธีใช้ชีวิตง่ายๆ แค่สองแบบเท่านั้น คือ หนึ่ง ใช้ชีวิตเหมือนกับว่าทุกเรื่องในโลกเป็นเรื่องพื้นๆ ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษหรือน่าสนใจ หรือว่า สอง ใช้ชีวิตเหมือนกับว่าทุกสิ่งในโลกนี้ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และแม้แต่เรื่องธรรมดาที่สุดก็เป็นเรื่องราวอันมหัศจรรย์ของจักรวาลที่กำลัง แสดงตัวอยู่ตรงหน้าเราทุกวินาที ขอเพียงเรามีเวลาสังเกตจนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง"
สมมุติ นะคะว่า ณ วันนี้ตาสองข้างของเราคือความธรรมดาของตัวเรา จะตาโต ตาตี่ หรือมีตีนกาเพิ่มมานั่นไม่ใช่ประเด็นหรอกค่ะ มันอยู่ที่ว่าหากวันหนึ่งดวงตาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเราตาบอดล่ะคะ? เราจะคิดถึงความธรรมดานั้นขึ้นมาทันทีถูกหรือเปล่า แม้แต่มือ เท้า อวัยวะส่วนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งคนที่เรารัก คนที่เราเห็นหน้าอยู่ทุกวัน บางวันเราอาจรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้ำไป เคยเบื่อเสียงแม่เรียกกินข้าวตอนเราคุยโทรศัพท์มั้ยคะ? เคยทะเลาะกับน้องเพราะแย่งรีโมททีวีหรือเปล่า เคยทะเลากับแฟนเพียงเพราะอยากกินอาหารคนละอย่างถูกมั้ยคะ ความธรรมดาเหล่านี้แหละค่ะที่เรามักจะไม่ใส่ใจจนเมื่อเราต้องเสียมันไป เพราะฉะนั้นจงรีบชื่นชมความธรรมดาตั้งแต่ตอนที่มันมีอยู่นะคะ
เพราะสิ่งธรรมดา...แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ
นอก จากบทนี้แล้วยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายรอให้พวกเราหาอ่านกันได้ ทั้งจากประสบการณ์ตรงของคนเขียนเอง และจากคำบอกเล่าของอาจารย์และบุคคลอื่นๆ อีกหลายท่าน
ps.
- ของกินกับหนังสือเป็นสองอย่างที่เจ้าของบล๊อกไม่เสียดายตังค์ซื้อ
- เมื่อไหร่สาขาบัญชีจะลงทุนเชิญคุณหนูดีมาบรรยายมั่งฮึ?
- อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วทำให้รู้ว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีอายุสี่ร้อยกว่าปีแล้ว
- สี่ร้อยกว่าปีที่แล้วเมืองไทยทำอะไรอยู่หว่า....
- ถ้าเสียดายตังค์ซื้อยืมเจ้าของบล๊อกได้ค่ะไม่คิดค่าเช่า(แต่อย่าทำยับ)
- อัจฉริยะสร้างได้ กับ อัจฉริยะเรียนสนุกก็มีค่ะ
ป้ายกำกับ:
book worm
story has just begun...
date :: 2009/08/08
time :: 17:55
weather :: rain is falling
note :: ปวดหูชิบ...
ขึ้นไตเติ้ลอย่างเท่ห์ จริงๆก็ไม่ได้อะไร แค่อาจารย์ยุทธนาชวนทำบล๊อกเลยทำด้วย ตอนนี้อยู่ในขั้นทดลองงาน จะเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นสัปปะรดหรือเปล่ายังไม่รู้ รู้แต่ว่าทำแล้วสนุกดี จริงๆ ก็มีบล๊อกอีกสองที่ และสเปซอีกหนึ่ง แต่ไม่ค่อยเป็นสาระ เพราะซักชาติจะอัพเดทซักที
ps.
- เมื่อเช้ากะตื่นซักเก้าโมง ตื่นมาทำไมเจ็ดโมงสี่สิบ?
- วันนี้ทั้งวันปวดหูข้างซ้ายโคตรๆ
- ว่าจะโทรหาแม่ แต่ทบยอดเป็นวันที่สิบสองดีกว่า
- ไอติมสิบห้าบาทตรงข้ามหออร่อยดี
- พึ่งอกหัก
- เพลงลูกชายออกแล้วแต่ยังไม่ได้ฟัง
- นิยายเหลือร้อยกว่าหน้าแต่ขี้เกียจอ่าน
- บทความภาษาอังกฤษ...ขี้เกียจเขียน
- อยากเรียนเศรษฐศาสตร์ต่อ
- เก็บออม...(แปะข้างฝาไว้ด้วย)
ป้ายกำกับ:
diary
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)