2552-08-11

วันแม่




Photobucket


ฉันเป็นลูกคนเล็กของบ้าน ตั้งแต่จำความได้พ่อกับแม่เลี้ยงฉันอย่างตามใจแต่ไม่โอ๋ คือไม่เออออห่อหมกว่าลูกฉันถูกเสมอ ผิดก็จะบอกว่าผิดและเตือนไม่ให้ทำอีก ถ้าผิดเป็นครั้งที่สองการลงโทษคือนั่งฟังพ่อกับแม่เทศน์จนกว่าจะสำนึก จะไม่มีการตี เท่าที่จำได้ ฉันเคยเห็นพ่อตีพี่ชายแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เกิด เพราะตอนนั้นพ่อว่าพี่ชายพาน้องสาวไปเล่นในป่าแล้วน้องก็ผื่นขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วคนน้องนั่นแหละที่เป็นคนพาไป และนับแต่นั้นเราสองคนก็ไม่เคยถูกพ่อกับแม่ตีอีกเลย

เพราะตอนเด็กฉันไม่ได้อยู่บ้านกับพ่อแม่ ต้องไปอยู่กับป้าในเมืองและเข้าโรงเรียนที่นั่น จึงไม่บ่อยนักที่ฉันจะได้เจอหน้าพวกท่าน ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป วันแม่แต่ละปีก็จะมีป้าไปใ้ห้ไหว้ เห็นเด็กๆ ร้องไห้กอดแม่ฉันก็เฉย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอขึ้นมัธยมก็ไม่ได้ไหว้แม่ตัวเองอีกเลย หรือกระทั่งวันประชุมผู้ปกครองแม่ก็ไม่ได้ไป ส่วนมากพี่สาวก็จะเป็นผู้่ปกครองให้

แม่เคยถามฉันเหมือนกันว่าอยากให้ไปวันแม่มั้ย? ฉันบอกว่าจะไปก็ได้ แต่คงไม่ได้อยู่ด้วยเพราะตอนเรียนเป็นเด็กกิจกรรม ต้องวิ่งไปนั่นมานี่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เขาก็จัดให้นักเรียนได้ไหว้แม่แต่ฉันก็ต้องไปอยู่หลังเวทีบอกคิวเด็กที่จะขึ้นแสดงบ้าง เสิร์ฟน้ำบ้าง แม้กระทั่งต้องอ่านร้อยกรองอยู่หลังฉาก เพราะฉะนั้นวันแม่ในแต่ละปีฉันจึงได้เจอแม่ก็ต่อเมื่อกลับจากโรงเรียน


Photobucket


แม่ฉันเป็นผู้หญิงผิวขาว ตัวเล็ก(กว่าฉัน) ผมหยิกฟู แม่ไม่ได้เป็นแม่บ้านสมบูรณ์แบบ แม่ไม่ได้ทำกับข้าวอร่อยที่สุด อาจจะเพราะฉันโตมากับอาหารฝีมือป้าที่เป็นแม่ค้าขายกับข้าว อาหารฝีมือแม่จึงไม่ได้อร่อยมาก แต่ฉันก็กินได้ไม่เคยบ่น เรื่องเย็บ ปัก ถัก ร้อย แม่ก็ทำไม่ได้อย่างใครๆ จะให้พูดจริงๆ คือฉันทำได้ดีกว่าแม่เยอะ แม่ไม่ได้เป็นแม่ที่ใครๆ ฝันอยากให้เป็น แม่ไม่ได้เข้าใจลูกดีกว่าใคร แต่สิ่งที่แม่มีเหมือนกันกับแม่คนอื่นๆ คือความรักที่แม่มีให้ลูก ลูกของแม่จะดีที่สุด สวยที่สุด เรียนเก่งที่สุด

แม่ของฉันเรียกตัวเองว่าชาวนา ถึงแม้เราจะมีสวนยางพารา ที่ทำไร่ แต่แม่ก็บอกเสมอว่าอาชีพของแม่คือการทำนา มือของแม่ไม่ได้นุ่มนิ่ม ผิวแม่ไม่ได้สวย ออกจะกร้านแดดกร้านลม และสิ่งที่ฉันเห็นตั้งแต่เด็กคือแม่ทำงานหนัก หนักอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นใครจะสามารถทำได้อย่างแม่ เวลาหน้านาแม่จะตื่นตั้งแต่ตีสี่ ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นแม่จะสวมเครื่องแบบลงไปยืนอยู่ในนาเรียบร้อย ถอนกล้าได้สามสิบมัดถึงจะขึ้นมากินข้าวเช้า พักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะลงดำนา ตอนเด็กๆ ที่ฉันเคยไปดำนากับแม่ ถ้าแดดร้อนมากแล้วฉันบ่นแม่ก็จะไล่ขึ้นไปพัก หรือถ้าฝนตกแม่ก็จะไล่กลับบ้านเพราะกลัวลูกไม่สบาย ซึ่งฉันก็เล่นบ้าง ไม่ได้ช่วยจริงจัง พอขึ้นมัธยมก็แทบไม่ได้กลับบ้านหน้านาอีกเลย

ทุกปีที่บ้านจะมีช่วงที่ต้องไป "นอนนา" คือปลายปีจะเป็นช่วงปิดเทอมประมาณสัปดาห์กว่าๆ เพราะคาบเกี่ยวระหว่างคริสต์มาสและปีใหม่(ตอนประถมเรียนโรงเรียนคริสต์) พ่อกับแม่ก็จะพาลูกไปนอนนา ซึ่งตอนเด็กจะเป็นอะไรที่ฉันกับพี่ชายรอคอยเอามากๆ เพราะเราจะได้สร้างบ้านเอง พ่อจะเป็นคนตัดไม้ใผ่มาขึ้นโครงให้แล้วพวกเราก็จะช่วยกันขนฟางข้าวมาช่วยกันมุง บางปีได้บ้านเป็นโดม บางปีเป็นเหมือนเต้นท์ เพราะตอนนั้นยังไม่ได้ใช้เครื่องสีข้าวอย่างปัจจุบัน แต่จะเป็นการตีข้าวกับลาน ฟางข้าวจึงยังเป็นมัด เมื่อก่อนจะมีการลงแขกดำนา เกี่ยวข้าว ตีข้าวกันเป็นที่สนุกสนาน

นอกจากสร้างบ้านพวกเรายังจะได้จับปลาในบ่อกันเอง ฉันสามามรถยกยอ ตกปลา ขุดหน่อไม้ เก็บเห็ดได้ตั้งแต่เด็ก ซึ่งถ้าตอนนี้ฉันกลับไปอยู่บ้าน ถึงไม่มีเงินแต่ฉันเชื่อว่าตัวเองจะไม่อดตาย นอกจากวิชาชีพการเอาตัวรอดภาคปฎิบัติ ฉันยังได้เรียนยิงหน้าไม้(รู้จักกันมั้ย?)กับพ่ออีกด้วย พ่อฉันเป็นคนที่มีอาวุธเก็บไว้เยอะพอสมควร ทั้งปืน หน้าไม้ และอุปกรณ์หากินอื่นๆ (พ่อเคยเคยยิงกวางได้ด้วยแหละ) และทุกสิ่งที่พ่อมีฉันก็จะได้จับหมด นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันรักการไปเที่ยวทะเลหรือภูเขามากกว่าไปเดินห้าง


Photobucket


เนื่องจากฉันไม่ได้อยู่กับที่บ้านมากนัก เวลาฉันขออะไรๆ จากแม่ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยถูกขัดใจ แม่คงอยากชดเชยที่ไม่ได้เลี้ยงลูกเอง จนกระทั่งตอนซัมเมอร์ม.สี่ เนื่องจากโรงเรียนที่ฉันเรียนเป็นโรงเรียนที่ลูกท่านหลานเธอทั้งหลายของภาคอีสานมาเรียนกัน เพื่อนแต่ละคนจึงค่อนข้างมีอันจะกิน นอกจากฉันที่พ่อแม่เป็นชาวนาและเพื่อนอีกคนที่พ่อเป็นภารโรง คนอื่นๆ ถ้าพ่อแม่ไม่รับราชการก็จะมีกิจการเป็นของตัวเอง ปีนั้นมีโครงการไปซัมเมอร์ที่สิงคโปร์ เพื่อนเกินครึ่งห้องลงชื่อจะไปกัน แต่ฉันต้องขออนุญาตแม่ก่อน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่ได้รับอนุญาต ด้วยเหตุผลที่ว่าแม่ไม่เงิน

ตอนม.ปลายฉันได้ตังค์ใช้อาทิตย์ละพัน ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนหนึ่งพันบาทเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากจริงๆ อาจจะเพราะได้มาง่ายฉันจึงไม่เสียดายที่จะใช้เงินจำนวนนั้นในการซื้อหาข้าวของต่างๆ นาๆ โดยที่ไม่รู้สึกเสียดายเลยซักนิด ฉันไม่รู้หรอกว่าเงินที่ให้มาแม่ได้มาด้วยวิธีไหน ขายข้าว ขายผลไม้ในสวน หรือจากการขายผักในไร่ แต่ฉันก็มีเงินใช้ไม่ขัดสนและไม่รู้สึกน้อยหน้าเพื่อน พอฟังเหตุผลของแม่ในตอนนั้นฉันจึงโกรธและน้อยใจเอามากๆ เมื่อไม่ได้ไปสิงคโปร์ฉันจึงได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวทะเลกับบ้านลุงแทน จนผ่านไปสิบวัน กลับมาบ้านฉันก็ยังไม่พูดกับแม่อยู่ดี

ฉันจำได้ดีว่าวันนั้นเรากินข้าวเย็นร่วมกันเป็นมื้อแรกหลังจากกลับมาจากทะเล แม่จะเป็นคนทำกับข้าว พอทำเสร็จฉันจะเป็นคนยกออกมาชานบ้าน ตอนที่ฉันยื่นมือไปรับกับข้าวจากแม่ที่ยืนหันข้างให้ "น้ำตาแม่"ตกกระทบหลังมือ น้ำหยดเล็กนิดเดียวแต่มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนน้ำเดือดสาดใส่ ฉันหน้าชา น้ำตาเจียนจะหยด เย็นวันนั้นพวกเรานั่งกินข้าวโดยไม่มีแม่ร่วมวงด้วย และนั่นก็เป็นมื้อแรกที่ฉันถูกพ่อบังคับกินข้าวพร้อมน้ำตา

เป็นกับข้าวฝีมือแม่ที่ไม่อร่อยที่สุดในชีวิต....



Photobucket


ต้องบอกว่าแม่เลี้ยงลูกตามใจจริงๆ ฉันขอแม่ไปเรียนภาษาแม่ก็ไม่ได้ห้าม เพียงแค่กังวลเรื่องเงินเพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่สุดท้ายก็มีผู้อุปการะฉันจึงได้หนีออกนอกประเทศสมใจ แล้วก็ได้ทุนต่อ พอไปเรียนก็ยังไม่รู้ว่าจะต่ออะไร จนจบภาษาสองคอร์สฉันก็บอกแม่ว่าจะกลับบ้าน มาทำงานที่บ้านเรา แม่ก็ไม่ว่า แล้วแต่ลูก ทั้งที่ฉันก็กังวลว่าแม่อาจจะผิดหวังกับสิ่งที่ฉันตัดสินใจ แต่แม่ก็บอกแค่ว่าถ้าลูกไม่รู้สึกเสียใจเองก็แล้วทำไมแม่ต้องเสียใจ

เมื่อตอนมัธยมแม่ไม่เคยห้ามเรื่องมีแฟน เวลาเพื่อนๆ (รวมแฟน)มาที่บ้านแม่จะต้อนรับขับสู้ หาข้าวหาน้ำ หาที่นอนหมอนมุ้งให้เสร็จสรรพ เวลาจะไปเที่ยวแม่หารถพร้อมคนขับให้ ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่าต้องปิดบัง อย่างเพื่อนบางคนต้องปิดพ่อปิดแม่เวลาไปเที่ยวกับแฟน อ้างเพื่อน อ้างโรงเรียน ฉันเคยทำนะ แต่รู้สึกไม่สบายใจเองเลยไม่อยากปิด มีอะไรก็บอก อยู่กับเพื่อนกับแฟนก็บอกตลอด แม่เลยไม่เซ้าซี้หรือคอยตาม และมันทำให้เรารู้สึกว่าแม่ไว้ใจ เราเองก็ไม่อยากทำลายความไว้ใจของแม่เลยไม่ค่อยทำตัวนอกกรอบซักเท่าไหร่


ตั้งแต่เล็กจนโตฉันกับแม่ไม่ค่อยจะเปิดอกคุยกันซักเท่าไหร่นัก เราไม่ค่อยบอกรักกัน ไม่ค่อยกอด หรือแสดงความรักต่อกัน แต่วันแม่ทุกปีถ้าอยู่ใกล้เราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน ถ้าอยู่ไกลก็จะโทรหากันทุกปี หรือถ้าเป็นวันเกิดฉันแม่ก็จะพาไปทำบุญตักบาตร ทำสังฆทาน แต่ไม่ค่อยมีงานวันเกิด บ้านเราไม่ค่อยถือเรื่องนี้นัก มันอาจเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราพยายามทำเพื่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายรักและใส่ใจ ฉันเองก็จะดีใจที่แม่ทำให้ แม่เองก็ดีใจที่ฉันยังใส่ใจไม่เคยลืม แม้เราจะไม่บอกกันตรงๆ แต่ฉันเชื่อว่าแม่ต้องเข้าใจเหมือนที่ฉันเองก็เข้าใจว่าแม่รักฉันมากแค่ไหน


head


สิ่งหนึ่งที่ฉันได้มาจากแม่เต็มๆ คือการมองโลกในแง่ดี แม่อาจจะขี้บ่น ขี้เมาธ์เหมือนคนวัียทองทั่วไป แต่แม่ก็ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ไม่เคยเห็นแม่แช่งชักหักกระดูกใครให้ได้ยินเลยซักครั้ง แม่ไม่เคยชมลูกต่อหน้าคนอื่น และไม่เคยเอาลูกคนอื่นมาเปรียบเทียบกับลูกตัวเอง ฉันกับพี่ชายเลยไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ท่านสอนเราเสมอว่าเราเป็นชาวนา เพราะฉะนั้นถึงจะไม่มีเงินแต่เราก็ยังมีข้าวกิน มีผัก มีปลาที่เราปลูกเองเลี้ยงเอง แม่ไม่เคยทำให้เรารู้สึกต่ำต้อยกว่าใครที่เกิดเป็นลูกชาวนา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเราจะรู้สึกเสมอว่าเราไม่ใช่คนที่ทุกข์ที่สุดในโลก และฉันก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เหลือเกิน

ตอนนี้ฉันโตแล้ว ถึงจะยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ฉันก็ไม่ได้แบมือขอเงินแม่เหมือนตอนเด็กๆ มาห้าปีแล้ว ฉันมีเงินเก็บพอจะเรียนจบโดยไม่ต้องลำบากใคร มีเงินลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ไว้เก็บดอกเก็บผล มีอนาคตที่วาดภาพไว้พอใ้ห้เห็นลางๆ สำหรับชีวิตตอนนี้ฉันถือว่าไม่มีทุกข์หนักให้ต้องกังวล แม้ว่าตอนเด็กๆ ฉันจะสร้างเรื่องให้แม่ลำบากใจไม่น้อย ใช้เงินเปลืองมาก แต่ตอนนี้ลูกสาวแม่เริ่มพึ่งพาตัวเองได้ ไม่สร้างเรื่อง ไม่สร้างหนี้เหมือนที่แม่ชอบสอน และฉันก็รู้ว่าแม่ภูมิใจตรงจุดนี้


วันแม่ปีนี้เป็นอีกปีที่ฉันไม่ได้อยู่กับแม่ ได้แต่โทรหา คุยกันด้วยเรื่องไร้สาระทุกเรื่องที่นึกออก นินทาป้าข้างบ้าน นินทาพ่อตัวเอง บอกเล่าเรื่องราวที่อยากทำในอนาคต ถามเรื่องอาหารการกิน คุยถึงแฟนเก่าที่พึ่งเลิกกัน จิกกัดชาวบ้านชาวช่อง หัวเราะด้วยกันโดยที่ไม่มีคำรักหลุดจากปากให้ได้ยิน แต่ฉันกลับรู้สึกเต็มตื้นในอกทุกครั้งที่ได้คุยกับแม่ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าถึงฉันจะไม่เหลือใคร แต่สุดท้ายคนที่ยืนรอเราที่หน้าบ้านทุกครั้งที่พ่ายแพ้และหาที่พึ่งก็คือแม่


Photobucket



แม่ของฉัน คือผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่เท่าฟ้า.....




ps. ถ้าไม่คิดว่ามันดึกมากแล้ว ฉันคงเขียนได้อีกเป็นร้อยหน้า...

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านที่คุณเขียนเกี่ยวกับครอบครัวแล้ว ทำให้นึกถึง blog ของ อัมรา
    ที่เขาทำรูปครอบครัวเป็น slide
    ดูแล้วน่าสนใจ อบอุ่น
    เพราะ รูปภาพ แทนคำข้อความได้นับแสนคำ

    ตอบลบ