2552-10-23

What should I do?

กำลังปวดประสาทกับงาน รื้องานเก่าที่เสร็จแล้วแต่พบข้อผิดพลาดมหาศาลมาแก้ก็พานพาให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย งานนั้นมันเสร็จตั้งแต่ปีสองพันห้าพอเอากลับมาดูอีกทีก็พบว่า ความความคิดความอ่าน ณ ตอนนั้นกับตอนนี้มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ถ้าจะแก้คงตั้งแก้ตั้งแต่เริ่มเลยเชียว เช่นนั้นแล้วเขียนใหม่ดีกว่ามั้ย?

งานที่ร่างไว้หลายอันก็หยิบจับมาทำต่อได้ไม่ดีนักด้วยเพราะมันไม่ต่อเนื่อง เนื้อหาตรงนั้นตรงนี้ตีกันมั่วไปหมด กรอบมันก็บิดเบี้ยวไม่เป็นรูปเป็นทรง นั่งทำมาหลายวันแต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย วันนี้ทั้งวันเลยนั่งคิดนอนคิดว่าคงได้เวลาฟอแมตความคิดตัวเองเสียที อาจต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ส่วนงานนั้นเมื่อถึงเวลา(อาจนานแสนนาน)อาจได้หยิบจับมันขึ้นมาทำใหม่


- เหตุผลในการกระทำของคนมีร้อยแปด คงไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกอย่างใช่มั้ย?
- ไม่สบายใจกับสิ่งต่างๆ นาๆ ที่ได้รับรู้ ปลอบตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
- Tomorrow will comes!
- ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไป มันคงดีขึ้น...ซักวัน

2552-10-06

finally now...



The exams were end.



นิสาสอบเสร็จแล้วววววววว!!!!!!!!...คึ คึ

.

.

.

สองสัปดาห์แห่งความวุ่นวาย และความเครียด(จริงเหรอ?)ผ่านพ้นไปแล้วพี่น้อง วันนี้นิสาก็จะได้กลับบ้าน กลับไปกินข้าวต้มมัดฝีมือแม่


เหตุที่ต้องกลับบ้านแทนที่จะได้ไปทะเลอย่างที่คุยกับพี่ชายทั้งหลายเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันอาทิตย์

แม่ : หนูกลับบ้านครั้งล่าสุดเมื่อไหร่นะ

นิสา : ก็ปีใหม่ไงแม่

แม่ : แล้วไม่คิดจะกลับอีกแล้วเหรอ?

นิสา : .................

เลยเป็นเหตุให้นิสาต้องจรลีกลับบ้านแทนที่จะได้ไปเที่ยวหนุกหนาน แม่ยังปลอบใจด้วยนะว่ากลับมาบ้านก่อนจะไปไหนก็ค่อยว่ากัน แหม่...งานราษฎร์งานหลวงเยอะปานนั้นคิดว่ากลับบ้านแล้วยังจะได้ไปอยู่รึ? แต่ก็นะ ยังไงก็กลับไปอยู่กับพ่อกับแม่นี่เนอะ ไปส่งข้าวพ่อ ไปนา ไปสวนยาง เฝ้าแทงค์น้ำแทนพ่อ มีอะไรให้ทำนอกจากนี้อีกมั้ยเนี่ย อ่อ...ไปวัดเป็นเพื่อนแม่ด้วย




ป.ล. วันนี้วันเกิด ได้รับข้อความจากบรรดาคนรู้จักทั้งหลาย แต่เมื่อกี๊โทรศัพท์มันรีเซ็ตตัวเอง(หรือเป็นไรซักอย่าง)ทุกสิ่งทุกอย่างหายดับ แง่ง....ทำไมต้องมาเป็นวันนี้ด้วยวะ? ห๊า!?

2552-10-02

nothing

2 ตุลาคม 2552 : วันฟ้าครึ้ม


อากาศเริ่มเย็นแล้ว พึ่งรู้สึกจริงจังก็วันนี้เอง เมื่อกลางวันนั่งอยู่ำใต้ตึกศิรินธรลมพัดแรงมาก เล่นเอาขนลุกเลย อ่านหนังสือไปก็ต้องนั่งงอตัวห่อไหล่ไป ขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์นั่งอยู่ได้ตั้งหลายชั่วโมง(แอบเหล่สาวด้วยเฮอะ) บ่ายสามก็เข้าห้องสอบ...

เศรษฐศาสตร์ วิชาที่ว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าที่สุด แล้วสอบไปวันนี้ นิสาได้อะไรกลับมาบ้างหนอ?

ออกจากห้องสอบด้วยอาการสะลึมสะลือ จะอ้วกมิอ้วกแหล่ แล้วก็ไปเลี้ยงชาบูน้อง หมดไปพันกับอีกสองบาท แล้วก็เดินย่อย ได้ยาทาเล็บกับรองพื้นมาอย่างละนิดละหน่อย กลัีบเข้าห้อง นั่งหน้าคอม อืม...ชีวิต

.

.

.

วันก่อนนู้นคุณเพื่อนแถวบ้านโทรมาหาเพราะพึ่งได้เบอร์ใหม่จากแม่ ถามว่าเรียนเป็นไงบ้าง นิสาก็ตอบว่าดี มันก็ว่าแค่นี้ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็ลือกันให้แซ่ดว่าเก่งแล้วจะเอาอะไรอีก ก็เลยตอบไปว่า "นิสาไม่ได้เรียนให้คนเขาเอาไปลือ นิสาเรียนเพราะอยากเรียนให้มันคุ้มกับที่เอาภาษีชาวบ้านเขามาจ่ายค่าเทอมเท่านั้นเอง" มันก็เงียบไปแล้วเลยชวนคุยเรื่องอื่น ไม่รู้เหมือนกันว่าโทรมาทำไม ไม่ได้มีจิตใจเสน่หาอะไรด้วยเลย ต่างคนต่างอยู่ไม่ดีกว่าหรือ? ไม่ได้อคติแต่ฟังคำคนพูดเราก็รู้หรอกใครจริงใจใครไม่จริงใจด้วย เพราะงั้นก็อย่าโทรมาอีกน่าจะดีกว่า

.

.

.

ณ ตอนนี้นิสาหลงรักผู้ชายหนึ่งคน เขาไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่นิสาก็รักในความสุดขั้วที่ขัดแย้งกันในตัวเอง รักในความรักตัวเองของเขา รักในความว่างเปล่าของเขา รักทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบเป็นตัวเ่ขา ใครจะหาว่าเพี้ยนว่าบ้าไหมหนอที่หลงรักผู้ชายไม่มีตัวตนคนนั้น หรือใครจะหาว่าบ้าเพราะความรัก...ก็ช่างหัวมันเถอะ

.

.

.

สุดท้ายก่อนจบ...

สี่วิชาที่สอบมา นิสาหวังเหลือเกินให้ได้เอ แต่ถ้าไม่ได้ก็คงไม่ถึงตาย เต็มที่กับชีวิตแล้วนี่...ใช่มั้ย?





ป.ล. ฉันยังมีคำถามกับตัวเองทุกครั้งที่มองสบตา ทั้งที่ก็มีอะไรแสดงออกตั้งมากมาย แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นความรักในนั้นเลย...ทำไม?
ป.ล. สอง ก็บอกแล้วว่าที่เขียนมานี่มัน..ไม่มีอะไร..เลย